
การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เป็นเหตุการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จสวรรคตด้วยต้องพระแสงปืนในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 อย่างมีเงื่อนงำ ก่อให้เกิดผลสะเทือนต่อการเมืองไทยอย่างรุนแรง และนำไปสู่การเถลิงถวัลยราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการหมดบทบาททางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ (รวมทั้งกลุ่มการเมืองสายปรีดี) อย่างสมบูรณ์หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2490 โดยกลุ่มจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทุกวันนี้กรณีดังกล่าวยังคงมีการถกเถียงกันอยู่และได้รับความสนใจในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ แต่ไม่เป็นประเด็นสาธารณะเพราะกรณีดังกล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง[1]
ลำดับเหตุการณ์[แก้]
![]() | บทความนี้หรือส่วนนี้ของบทความต้องการปรับรูปแบบ ซึ่งอาจหมายถึง ต้องการจัดรูปแบบข้อความ จัดหน้า แบ่งหัวข้อ จัดลิงก์ภายใน และ/หรือการจัดระเบียบอื่น ๆ คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นปรับปรุงหรือจัดรูปแบบอื่น ๆ ในบทความให้เหมาะสม |
ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาบทความนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก |
ลำดับเหตุการณ์ | |
---|---|
5 ธันวาคม 2488 | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนครพร้อมด้วยพระบรมราชชนนีและพระอนุชา |
9 มิถุนายน 2489 | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต |
21 มิถุนายน 2489 | เริ่มชันสูตรพระบรมศพ |
15 พฤศจิกายน 2490 | ตำรวจทำการจับกุมตัวชิต บุศย์และเฉลียว |
17 กุมภาพันธ์ 2498 | ประหารชีวิตสามจำเลย |
- วันที่ 5 ธันวาคม 2488 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จนิวัติพระนครอีกครั้งพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
- วันที่ 9 มิถุนายน 2489 เวลาประมาณ 9.30 น. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สวรรคตด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งพระที่นั่งบรมพิมาน เวลาต่อมา สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าเป็น อุบัติเหตุโดยพระองค์[2] รัฐบาลมีประกาศว่า สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์[3]
- ระหว่างช่วงเวลานี้ กลุ่มนิยมเจ้าและพรรคประชาธิปัตย์ ได้พยายามใส่ร้ายว่านายกฯปรีดี เป็นผู้อยู่เบื้องการลอบปลงพระชนม์[4]
- วันที่ 18 มิถุนายน 2489 รัฐบาลปรีดีประกาศตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีสวรรคต[5]
- วันที่ 21 มิถุนายน 2489 เริ่มทำการชันสูตรพระบรมศพ
- วันที่ 19 สิงหาคม 2489 ในหลวงรัชกาลที่9 เสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์ ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์
- วันที่ 23 สิงหาคม 2489 นายปรีดี ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสวรรคต พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อมา และทำการสืบคดีต่อไป
- วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 เกิดการรัฐประหาร 2490 โดยกลุ่มทหารนอกราชการที่นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเหตุผลด้านการทุจริตของรัฐบาล และ ปัญหาเรื่องกรณีสวรรคตรัชกาลที่8 นายปรีดีลี้และพลเรือตรี ถวัลย์ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
- วันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 พันตรี ควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกต่อจากพลเรือตรีถวัยย์ และดำเนินการสืบสวนคดีสวรรคตต่อ
- วันที่ 15 พฤศจิกายน 2490 ตำรวจทำการจับกุมการจับคุมตัว นายชิต นายบุศย์ และ นายเฉลียว และได้ออกหมายจับนายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย ในฐานะผู้ต้องหาร่วมกันลอบปลงพระชนม์ในหลวงร.๘[6]
- วันที่ 8 ธันวาคม 2490 แต่งตั้งพ.ต.ท.หลวงแผ้วพาลชน เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ต่อมาเปลี่ยนตัวหัวหน้าฝ่ายสืบสวนเป็นพระพินิจชนคดี พี่เขยของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งออกจากราชการไปแล้วให้กลับเข้ามาเข้ามาทำงาน[7]
- วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2491 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขึ้นเป็นนายกแทนพันตรี ควง อภัยวงศ์ ตามมติคณะรัฐประหาร
- วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 นายปรีดี พยายามกลับไทยโดยก่อ กบฏวังหลวง ขึ้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงต้องหลบหนีออกนอกประเทศ และไม่ได้กลับมาอีกเลยตลอดชีวิต
- วันที่ 5 มิถุนายน 2493 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จกลับมาประเทศไทย เพื่อ ประกอบพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพ, พระราชพิธีอภิเษกสมรส, และบรมราชาภิเษกแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์
- วันที่ 27 กันยายน 2494 ศาลชั้นต้นมีมติให้ประหารนายชิต ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นธันวาคม 2494 ในหลวงรัชกาลที่9 เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวร ระหว่างนั้นจอมพล ป. พิบูลสงครามทำรัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 ขณะในหลวงทรงอยู่ในเรือที่กำลังเข้ามาในน่านน้ำไทย และเสด็จถึงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2494
- วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2498 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบให้ เรื่องโปรดเกล้าฯให้ยกฎีกานี้(ขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ ชิต บุศย์ เฉลียว) ตามที่ราชเลขาธิการแจ้งมาว่า ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว โปรดเกล้าฯให้ยกฎีกานี้และมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้เตรียมการประหารนักโทษทั้ง 3
- วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เวลาตี 2 หัวหน้ากองธุรการเรือนจำอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้นักโทษทั้งสามฟัง และแจ้งว่า “บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสามแล้ว โดยพระองค์ได้ทรงขอให้คดีดำเนินไปตามตัวบทกฎหมาย ดังที่ศาลสถิตย์ยุติธรรมชั้นสูงได้ตัดสินไปแล้ว" และประหารชีวิต นาย เฉลียว ด้วยปืนกล 20 นาทีต่อมาได้นำตัว นายชิต ไปประหาร ถัดมาอีก 20 นาที จึงนำตัวนายบุศย์ ไปประหาร หลังการประหารสิ้นสุดลงเผ่าไปตรวจศพใบหน้าศพที่วางเรียงกันสักครู่ ทำท่าคล้ายขออโหสิกรรม
เหตุการณ์ช่วงสวรรคต[แก้]
9 มิถุนายน 2489 (วันเกิดเหตุ)[แก้]
ประมวลจากหนังสือ กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489 หน้า 7-20 และ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.8 หน้า 17-19[8][ต้องการอ้างอิง]
- เวลาประมาณ 5.00 น. สมเด็จพระราชชนนีทรงปลุกบรรทมสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เพื่อถวายพระโอสถให้เสวย จากนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมต่อ
- เวลาประมาณ 6.00 น. ทรงพระประชวรพระนาภี สมเด็จพระราชชนีเสด็จไปถวายน้ำมันละหุ่ง นม และบรั่นดีแต่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลแล้วเสด็จกลับ
- เวลาประมาณ 6.20 น. บุศย์ ปัทมศริน มหาดเล็กห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเข้าเวรถวายงานที่พระที่นั่งบรมพิมาน ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้รินน้ำส้มคั้นที่ห้องเสวยเพื่อคอยทูลเกล้าฯ ถวาย
- เวลาประมาณ 7.00 น. - 8.00 น. มหาดเล็กรับใช้ขึ้นไปบนพระที่เตรียมจัดตั้งโต๊ะเสวย
- เวลาประมาณ 8 นาฬิกาเศษ บุศย์เห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตื่นพระบรรทมจึงนำน้ำส้มคั้นไปถวาย แต่พระองค์โบกพระหัตถ์ไม่เสวย แล้วเสด็จขึ้นพระแท่นบรรทมตามเดิม บุศย์จึงกลับมาประจำหน้าที่ที่หน้าห้องพระบรรทมตามเดิม
- เวลาประมาณ 8.30 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตื่นบรรทมเข้าห้องสรง ยื่นประทับในห้องแต่งพระองค์ บุศย์ถวายน้ำส้มพระองค์ไม่ทรงรับเสด็จเข้าห้องพระบรรทม บุศย์ถือน้ำส้มเดินตามเสด็จ พระองค์เสด็จขึ้นพระแท่นบรรทม โบกพระหัตถ์ให้บุศย์ออกไป บุศย์ถือน้ำส้มออกไป มานั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าพระทวารเข้าห้องแต่งพระองค์
- เวลา 8.55 ชิต สิงหเสนี ขึ้นไปบนพระที่นั่ง (บางหนังสือเล่าว่า ชิต สิงหเสนีมากับพระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร) เพื่อวัดขนาดดวงพระตราเพื่อเอาไปให้ช่างทำหีบดวงพระตรา ชิตกับบุศย์นั่งคอยอยู่หน้าห้องแต่งพระองค์
- เวลา 9.00 น. พระพี่เลื้ยงเนื่อง (เนื่อง จิตตดุลย์) ขึ้นไปบนพระที่นั่ง เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชชนนีจัดห้องแล้วเก็บฟิล์มหนังในห้องสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช
- เวลาประมาณ 9 นาฬิกาเศษ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดชทรงเสวยพระกระยาหารเช้าพระองค์เดียว ณ มุขพระที่นั่งด้านหน้ามีมหาดเล็กรับใช้ 2 -3 คนเสด็จออกจากโต๊ะเสวยไปทางห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พบชิต สิงหเสนี, บุศย์ ปัทมศริน ที่หน้าห้องแต่งพระองค์ทรงถวายพระอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วเสด็จกลับห้องของพระองค์
- เวลาประมาณ 9.20 น. เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ภายในห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิตสะดุ้งอยู่มองหน้าบุศย์และคิดหาที่มาของเสียงปืนอยู่ประมาณ 2 นาที จึงเข้าไปในห้องพระบรรทม พบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหลับอยู่เป็นปกติ แต่ปรากฏว่ามีพระโลหิตไหลเปื้อนพระศอและพระอังสะ (ไหล่) ด้านซ้าย ชิตจึงวิ่งไปที่ห้องบรรทมของสมเด็จพระราชชนนีแล้วกราบทูลว่า “ในหลวงยิงพระองค์”[9] สมเด็จพระราชชนนีตกพระทัย ทรงร้องขึ้นได้เพียงคำเดียวและรีบวิ่งไปที่ห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทันที ชิต, พระพี่เลี้ยงเนื่อง, สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ, และจรูญได้วิ่งตามเสด็จสมเด็จพระราชชนนีไปติด ๆ
ขณะนั้นมีคนอยู่บริเวณพระที่นั่งชั้นบน 8 ด้วยกันคือ
- สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (บรรทมอยู่ในห้องของพระองค์)
- ชิต สิงหเสนี (นั่งอยู่หน้าประตูห้องแต่งพระองค์)
- บุศย์ ปัทมศริน (นั่งอยู่หน้าประตูห้องแต่งพระองค์)
- ฉลาด เทียมงามสัจ (อยู่ห้องเสวยมุขพระที่นั่ง)
- จรูญ ตะละภัฎ (อยู่ในห้องสมเด็จพระบรมราชชนนี)
- พระพี่เลี้ยงเนื่อง (อยู่ในห้องสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช)
- สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช (อยู่ในห้องเครื่องเล่น)
- สมเด็จพระราชชนนี (อยู่ในห้องของพระองค์)
ขณะที่เสียงปืนดังขึ้น ชิต สิงหเสนี และบุศย์ ปัทมศริน นั่งอยู่ที่พื้นระเบียงหน้าพระทวารห้องแต่งพระองค์เป็นทางเดียวจะเข้าสู่ห้องพระบรรทมของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันมหิดล[10]
- เมื่อไปถึงที่ห้องพระบรรทมนั้น ปรากฏว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเสียแล้ว ในลักษณะของคนที่นอนหลับธรรมดา มีผ้าคลุมพระองค์ตั้งแต่ข้อพระบาทมาจนถึงพระอุระ ที่พระบรมศพมีบาดแผลกลางพระนลาฎ (หน้าผาก) บริเวณระหว่างพระขนง (คิ้ว) ข้างพระศพบริเวณข้อพระกรซ้ายมีปืนพกกองทัพบกสหรัฐ ผลิตโดยบริษัทโคลต์ ขนาดกระสุน 11 มม. ซึ่งนายฉันท์ หุ้มแพร มหาดเล็กเป็นผู้ทูลเกล้าฯถวาย[11] วางอยู่ในลักษณะชิดข้อศอก ด้ามปืนหันออกจากตัว ปากกระบอกปืนชี้ไปที่ปลายพระแท่นบรรทม สมเด็จพระราชชนนีได้โถมพระองค์เข้ากอดพระบรมศพของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอต้องพยุงสมเด็จพระราชชนนีไปประทับที่พระเก้าอี้ปลายแท่นพระบรรทม
- จากนั้นสมเด็จพระราชชนนีจึงมีรับสั่งให้ตามพันตรี นายแพทย์ หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ (นิตย์ เปาเวทย์) แพทย์ประจำพระองค์ มาตรวจพระอาการของในหลวง ส่วนพระพี่เลี้ยงเนื่องได้จับพระชีพจรของในหลวงที่ข้อพระหัตถ์ซ้าย พบว่าพระชีพจรเต้นอยู่เล็กน้อยแล้วหยุด พระวรกายยังอุ่นอยู่ จึงเอาผ้าคลุมพระองค์มาซับบริเวณปากแผล และปืนกระบอกที่คาดว่าเป็นเหตุทำให้ในหลวงสวรรคตไปให้บุศย์เก็บพระแสงปืนไว้ที่ลิ้นชักพระภูษา เหตุการณ์ช่วงนี้ได้ก่อปัญหาในการพิสูจน์หลักฐานในเวลาต่อมาเมื่อมีการจัดตั้ง “ศาลกลางเมือง” เพื่อสอบสวนกรณีสวรรคต
- เวลาประมาณ 10.00 น. หลวงนิตย์เวชชวิศิษฏ์ได้มาถึงสถานที่เกิดเหตุและตรวจพระอาการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พบว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตแล้ว โดยบริเวณปากแผลมีผ้าพันแผลพันอยู่ เมื่อแกะผ้าพันแผลออกไม่พบรอยเขม่าดินปืน นอกจากนี้พระบรมศพยังได้ถูกชำระในขั้นต้นไปแล้วตามคำสั่งของสมเด็จพระราชชนนี[12] โดยสมเด็จพระราชชนนีได้ให้เหตุผลว่า จะได้ไม่เป็นการลำบากในการเตรียมงานถวายน้ำสรงพระบรมศพในช่วงบ่าย
- ในช่วงเวลาเดียวกัน พระยาเทวาธิราช (หม่อมราชวงศ์เทวาธิราช ป. มาลากุล) สมุหพระราชพิธีได้เดินทางไปที่ทำเนียบท่าช้าง ที่พักของปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งข่าวการสวรรคต (ขณะนั้นปรีดีประชุมกับหลวงเชวงศักดิ์สงคราม (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) พลตำรวจเอก พระรามอินทรา (ดวง จุลัยยานนท์) (อธิบดีกรมตำรวจ) และหลวงสัมฤทธิ์ สุขุมวาท (สัมฤทธิ์ สุขุมวาท) (ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล) เรื่องกรรมกรที่มักกะสันหยุดงานประท้วง)
- ประมาณ 11.00 น. ปรีดีมาถึงพระที่นั่งบรมพิมาน และสั่งให้พระยาชาติเดชอุดม (หม่อมราชวงศ์โป๊ะ มาลากุล) อัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และเชิญคณะรัฐมนตรี มาประชุมเกี่ยวกับเรื่องการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ประชุมสรุปว่าให้ออกแถลงการณ์แจ้งให้ประชาชนทราบว่า การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นอุบัติเหตุ แถลงการณ์ของกรมตำรวจที่ออกมาในวันนั้นก็มีเนื้อหาในลักษณะเดียวกัน
- เวลา 21.00 น. รัฐบาลเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการด่วน เพื่อแจ้งให้สภาทราบเรื่องการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และสรรหาผู้สืบราชสมบัติ ที่ประชุมได้ลงมติถวายราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช ขึ้นสืบราชสมบัติ เป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" จากนั้นปรีดีประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
10 มิถุนายน 2489[แก้]
- เจ้าหน้าที่และแพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้เดินทางมาทำการฉีดยารักษาสภาพพระบรมศพ ระหว่างการทำความสะอาดพระบรมศพเพื่อเตรียมการฉีดยานั้น คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้พบบาดแผลที่พระปฤษฎางค์ (ท้ายทอย) ซึ่งเป็นบาดแผลที่ทะลุจากรูกระสุนปืนที่พระพักตร์บริเวณพระนลาฏ (หน้าผาก) ตรงระหว่างพระขนง (คิ้ว) ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่จริงแล้วในหลวงถูกลอบปลงพระชนม์ เนื่องจากบาดแผลที่พบใหม่ไม่ตรงกับคำแถลงการณ์ที่ออกมาในตอนแรก และเนื่องจากบาดแผลที่ท้ายทอยเล็กกว่าที่พระนลาฏ ซึ่งโดยปกติลักษณะบาดแผลรูเข้าจะมีขนาดเล็กกว่ารูออก จึงเกิดข่าวลือว่าอาจจะถูกยิงจากข้างหลัง ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่ารัฐบาลมีส่วนในการปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมตำรวจจึงออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่าได้ตั้งประเด็นการสวรรคตไว้ 3 ประเด็น คือ
- มีผู้ลอบปลงพระชนม์
- ทรงพระราชอัตวินิบาตกรรม (ปลงพระชนม์เอง)
- เป็นอุบัติเหตุ
11 มิถุนายน 2489[แก้]
- กรมตำรวจยังคงแถลงการณ์ยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตด้วยอุบัติเหตุ แต่ประชาชนยังคงมีความคลางแคลงใจต่อรัฐบาลอยู่เช่นเดิม ในวันนี้ทางกรมตำรวจได้นำปืนของกลางที่พบในวันสวรรคตไปให้กรมวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ
- ปรีดี พนมยงค์ ได้รับเลือกจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
18 มิถุนายน 2489[แก้]
เนื่องจากมีความพยายามในการนำประเด็นสวรรคตมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง นำโดยพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มนิยมเจ้า โดยกล่าวหาว่านายปรีดีเป็นผู้บงการให้ลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่๘ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ นายปรีดีจึงสั่งไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น ซึ่งถูกเรียกสั้นๆว่า ศาลกลางเมือง เพื่อทำการสืบสวนกรณีสวรรคต[13]
สถานที่เกิดเหตุ[แก้]
เหตุเกิดที่ ชั้น2ของพระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมหาราชวัง
สถานที่เกิดเหตุ คือในห้องบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 8) จากการสอบสวนพบว่า ไม่พบร่องรอยการปีนป่ายจากภายนอก และทางเข้าออกห้องบรรทมมีแค่ทางเดียวในขณะนั้น โดย
- ด้านเหนือ ทางห้องทรงพระอักษร ถูกลงกลอนจากภายในตลอดและหลังเกิดเหตุ
- ด้านตะวันตก ติดกับห้องทรงพระสำราญ มีประตู 3 บาน แต่ถูกปิดตายทั้งหมด โดยลงกลอนจากฝั่งห้องบรรทม และฝั่งห้องทรงพระสำราญมีตู้โต๊ะเก้าอี้วางกั้นอยู่ เป็นอันว่า ด้านกลางนี้ไม่ได้ใช้เป็นทางเข้าออก คงเหลือแค่เพียงทางเดียว คือ
- ด้านใต้ ตรงส่วนห้องแต่งพระองค์ ซึ่งมีนายชิต นายบุศย์ นั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ[14]
มีบันได 3 ทางที่เชื่อมชั้นล่างกับชั้น 2 คือ
- บันไดเวียน ด้านตะวันตก ที่อยู่ระหว่างห้องสมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระอนุชา แต่ถูกปิดตายไว้นานแล้วก่อนเกิดเหตุ[15] และทางเชื่อมห้องสมเด็จพระอนุชาและห้องเครื่องเล่นถูกปิดตาย แต่ประตูที่เหลือเปิดตลอดเวลา[16]
- บันไดเล็ก ติดกับห้องเครื่องเล่นเชื่อมชั้น 1 กับชั้น 2 และห้องใต้หลังคา เปิดใช้ตอน 7 โมง และจะถูกปิดเมื่อหมดเวลาคือไม่มีแขก เมื่อเปิดใช้จะมียามเฝ้าอยู่ที่ชั้นล่าง[17]
- บันไดใหญ่ เปิดตลอดเวลา เวลากลางคืนจะมียามเฝ้าชั้นบน วันที่เกิดเหตุ มียามเฝ้าอยู่ข้างล่างคนนึงคือนายพร หอมเนียม[18]
ขณะเกิดเหตุมีมหาดเล็กยืนยามอยู่ ดังที่เห็นในภาพคือ มุมหน้าพระที่นั่ง 2 คน ที่บันไดหลังข้างอ่างน้ำพุ 2 คน กับบันไดขึ้นชานชาลาสุดพระที่นั่งด้านตะวันตก 1 คน และมีชาวที่อยู่เวรที่บันไดระหว่างห้องภูษากับห้องเครื่องเล่นอีก[19]
- ร.ท.ณรงค์ สายทอง เป็นผู้บังคับกองทหารมหาดเล็กที่รักษาพระที่นั่งบรมพิมาน ได้สอบถามทหารยามทั้ง (พลทหาร ขจร ยิ้มรักษา, พลทหาร บุญชู กัณหะ, พลทหาร รอย แจ้งเวหา, พลทหาร ร่อน กลิ่นผล, พลทหารเค้า ดีประสิทธิ์) ที่อยู่เฝ้าประตูพระที่นั่ง ได้ความว่าหลังเสียงปืน ไม่มีคนวิ่งออกมจากพระที่นั่งไปข้างนอกเลย[20]
- พลทหารขจร ยิ้มรักษา เฝ้าอยู่ที่บันไดพระที่นั่งคู่กับพลทหารบุญชู ก่อนเสียงปืนไม่พบใครผ่านตนเองเข้าไปในพระที่นั่งสักคนเดียว เฝ้าอยู่จนได้ยินเสียงปืนแล้ว ก็ไม่พบว่ามีใครผ่านเข้าออก[21]
- พลทหารบุญชู กัณหะ เฝ้าอยู่ที่บันไดพระที่นั่งคู่กับพลทหารขจร หลังเสียงปืนไม่เห็นมีใครผ่านขึ้นลง จนถึง 11.00น. ก็ไม่พบเห็นผ่านเข้าออกเลย[22]
- พลทหารลอย แจ้งเวหา เฝ้าอยู่ที่บันไดข้างซ้ายด้านหลังพระที่นั่งคู่กับพลทหารร่อนอยู่ทางด้านขวา หลังเสียงปืนมีมหาดเล็กเชิญเครื่องเสวย 2 คนผ่านขึ้นลงบันไดกลาง นอกนั้นไม่พบใครผ่าน และก่อนเสียงปืนไม่มีคนแปลกปลอมผ่านไปเลย[23]
- พลทหารร่อน กลิ่นผล เฝ้าอยู่ทางบันไดหลังคู่กับพลทหารลอย หลังเสียงปืนเห็นมีคนเชิญเครื่องเสวย 2 คนผ่านขึ้นลงบันไดกลาง นอกจากนี้ไม่พบเห็นใครผ่านขึ้นลง[24]
- พลทหารเค้า ดีประสิทธิ์ เฝ้าอยู่บันไดด้านตะวันตก มีประตูอยู่แต่ถูกปิดตายไว้ และก่อนถึงหลังเสียงปืน ไม่พบเห็นใครผ่านทางประตูที่ตนเฝ้าอยู่เลย[25]
- นายพร หอมเนียม เฝ้าอยู่บันไดอัฒจันทร์ใหญ่ หลังเสียงปืนเห็นนายมณี บูรณสุตและนายมังกร ภมรบุตรขึ้นๆ ลงๆ นอกจากนี้ไม่พบเห็นมีใครแปลกปลอม [26]
โดยพระแท่นบรรทมจะมีพระวิสูตร(มุ้ง)คลุมรอบด้าน และมีเหล็กทับกดอยู่ การเข้าออกต้องแหวกพระวิสูตรเข้าไป และพระวิสูตรไม่มีรอยทะลุ หัวกระสุนพุ่งลงทะลุผ่านพระเศียร และพระเขนย(หมอน) ไปฝังในฟูกที่นอนข้างใต้[27]
การชันสูตรพระบรมศพ[แก้]
ช่วงแรกหลังเหตุการณ์ ทางรัฐบาลปรีดีในขณะนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะต้องชันสูตรพระบรมศพ และกรมขุนชัยนาทฯเองก็ได้ห้ามปรามไว้[28] ต่อมารัฐบาลฯได้ออกประกาศในขณะนั้นสันนิษฐานว่าเป็นอุปัทวเหตุ(โดยพระองค์เอง)[29] และได้อัญเชิญสมเด็จพระอนุชาขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์[30] ไม่กี่วันต่อมาฝ่ายปฏิปักษ์ของปรีดีฯนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มนิยมเจ้าได้นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง โดยกล่าวหาว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ และมีนายปรีดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้[31] เพื่อสยบข่าวลือและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ นายกปรีดีจึงประกาศจัดตั้งคณะกรรมการสืบสวนขึ้น และดำเนินการชันสูตรพระบรมศพ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้กระจ่าง[32] การชันสูตรพระบรมศพเริ่มวันที่ 26 มิถุนายน 2489[33]
สภาพพระบรมศพเริ่มแรก[แก้]
ต้องอาศัยจากคำให้การบุคคลที่เข้าไปพบพระบรมศพกลุ่มแรก[34]ในการการวิเคราะห์ เนื่องจากว่าภายหลังเมื่อตำรวจไปถึงได้มีการเคลื่อนย้ายและขยับพระบรมศพและวัตถุในที่เกิดเหตุไปจากเดิมแล้ว[35]
สภาพพระบรมศพ ทรงบรรทมหงายพิงพระเขนย(หมอน)คล้ายคนนอนหลับอย่างปกติ มีผ้าคลุมตั้งแต่พระอุระ(อก)ตลอดจนถึงข้อพระบาท(ข้อเท้า) มีพระโลหิต(เลือด)ไหลโทรมพระพักตร์(หน้า)ลงมาที่พระเขยนและผ้าลาดพระยี่ภู่ พระเศียร(หัว)ตะแคงไปทางด้านขวาเล็กน้อย บริเวณกึ่งกลางพระนลาฏ(หน้าผาก) ตรงตรงเหนือพระขนง(คิ้ว)ซ้าย มีแผลกระสุนปืน หนังฉีกเป็นแฉกคล้ายเครื่องหมายคูณกว้างยาวประมาณ4ซม. พระเนตร(ตา)ทั้งสองหลับสนิท ไม่ได้ฉลองพระเนตร(แว่นตา) พระเกศา(ผม)แสกเรียบอยู่ในรูปที่เคยทรง พระโอษฐ์(ปาก)ปิด พระกร(แขน)ทั้งสองเหยียดทอดทับนอกผ้าคลุมพระองค์แนบพระวรกายตามปกติ พระหัตถ์ทั้งสองแบอยู่ในท่าธรรมดา พระบาททั้งสองเหยียดทอดชิดกันอยู่ห่างจากปลายพนักพระแท่นประมาณ 7ซม. มีปืนของกลางขนาดลำกล้อง 11มม. วางอยู่ข้างพระกรซ้าย ลำกล้องขนานและห่างพระกร 1นิ้ว ปากกระบอกหันไปทางพระบาท ศูนย์ท้ายของปืนอยู่ตรงระดับข้อพระกร(ข้อศอก)
ลักษณะบาดแผล และวิถีกระสุน[36][แก้]
ผลการชันสูตรพระบรมศพ[แก้]
การชันสูตรพระบรมศพเริ่มในวันที่ 26 มิถุนายน 2489 โดยมี นพ.สุด แสงวิเชียร และ นพ.สงกรานต์ นิยมเสน เป็นผู้ลงมือผ่าตัดพระบรมศพด้วยกัน และมี นพ.สงัด เปล่งวานิช เป็นผู้คอยจดบันทึกผล[37]
- ผลตรวจสอบสารพิษ ไม่พบว่า ร.๘ได้รับสารพิษแต่อย่างใด[38]
- วิถีกระสุนเข้าทางพระนลาฎ (หน้าผาก) บริเวณกลางหน้าผากเหนือพระขนง(คิ้ว)ซ้ายเล็กน้อย และ ทะลุออกทางพระปฤษฎางค์ (ท้ายทอย) โดยมีวิถีเฉียงจากบนลงล่าง และมีทิศทางเอียงจากซ้ายไปขวา[39]
- บาดแผลที่พระนลาฎ เป็นรูปกากบาท หนังฉีกแยกเป็น 4 แฉก ทั้ง 4 แฉกจดกัน ศูนย์กลางของแผลกากบาทอยู่ที่บริเวณกลางหน้าผากเหนือคิ้วซ้ายประมาณ 1 เซนติเมตร[40]
- ปากกระบอกปืนต้องกดชิดติดบริเวณบาดแผลเมื่อลั่นไก ไม่เช่นนั้นก็ห่างไม่เกิน 5 เซนติเมตร[41]
- ไม่พบอาการอาการ “คาดาเวอริค สปัสซั่ม” (Cadaveric Spasm) ในพระบรมศพ กล่าวคือเป็นอาการเกร็งค้างของกล้ามเนื้ออันเกิดจากสมองตายเฉียบพลัน (ในกรณีนี้คือถูกกระสุนปืน) เนื่องจากส่วนสมองของพระบรมศพถูกกระสุนทำลายฉับพลัน[42]ซึ่งอาจแสดงให้เห็นชัดเจนจากบริเวณ แขน ขา มือ นิ้วมือ เป็นต้น
ความเห็นแพทย์จากการชันสูตร[แก้]
หลังชันสูตรพระบรมศพ คณะแพทย์ได้ลงความเห็นไว้ว่า
- ลอบปลงพระชนม์ 16 เสียง
- ปลงพระชนม์เอง 4 เสียง
- อุบัติเหตุ 2 เสียง
โดยคณะแพทย์ 20 คน เป็นแพทย์ไทย 16 คน แพทย์ต่างชาติ 4 คน (อเมริกัน 1 คน, แพทย์จากกองทัพบริติชและบริติชอินเดีย 3 คน)[43] และใน 16 คนแรกที่เพิ่งกล่าวถึง 8 คนบอกตัด “อุบัติเหตุ” ออกไปเลยว่าเป็นไปไม่ได้ (หนึ่งในนั้น นพ.ชุบ โชติกเสถียร ตัดการยิงพระองค์เองออกหมดคือ ตัด “ปลงพระชนม์เอง” ด้วย) ที่เหลือเกือบทุกคนใส่ “อุบัติเหตุ” ไว้หลังสุด (คือเรียงลำดับความเป็นไปได้ว่า “ถูกปลงพระชนม์, ปลงพระชนม์เอง หรือ อุบัติเหตุ”)[44] นอกจากนี้แพทย์บางคนที่ไม่เจาะจงตัดอุบัติเหตุทิ้ง ยังให้เหตุผลว่าแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็น้อยมากไม่ถึง 1ในล้าน เช่นนพ.หลวงพิณพากย์พิทยาเพท และนพ.ใช้ ยูนิพันธ์[45] โดยการนับของแพทย์ นับจากใครเห็นว่าเหตุใดมีน้ำหนักมากสุด ให้นับอย่างนั้นเป็น1 อย่างอื่นไม่นับ[46]
การวินิจฉัยของศาล[แก้]
ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 รัฐบาลใหม่ได้ทำการสืบสวนต่อ โดยพุ่งเป้าไปที่เป็นการลอบปลงพระชนม์ โดยมีนายชิต นายบุศย์ นายเฉเลียว นายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย เป็นจำเลย จากนั้นอัยการโจทย์ได้นำสืบ คดีขึ้นสู่ศาล ทั้ง3ศาลวินิจฉัยความเป็นไปได้ดังนี้ จากความเป็นไปได้ทั้ง4 แบ่งเป็น
การกระทำโดยพระองค์เอง
- ตั้งใจ (ฆ่าตัวตาย)
- ไม่ตั้งใจ (อุบัติเหตุ)
การกระทำโดยผู้อื่น
- ตั้งใจ (ลอบปลงพระชนม์)
- ไม่ตั้งใจ (อุบัตุเหตุ)
ศาลชั้นต้น[แก้]
- กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ(ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[47]
- กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[48]
- กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ(ลอบปลงพระชนม์) ศาลมั่นใจว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์[49]
- กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[50]
ศาลชั้นอุทธรณ์[แก้]
- กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ(ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[51]
- กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าเป็นไปไม่ได้[52]
- กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ(ลอบปลงพระชนม์) ศาลเห็นว่าป็นการลอบปลงพระชนม์[53]
- กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่าให้ตัดข้อนี้ทิ้งโดยไม่มีทางที่จะโต้แย้งได้[54]
ศาลชั้นฎีกา[แก้]
- กรณีที่ 1 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยตั้งใจ(ฆ่าตัวตาย) ศาลเห็นว่ามิใช่การกระทำโดยพระองค์เอง[55]
- กรณีที่ 2 การกระทำโดยพระองค์เอง โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลเห็นว่ามิใช่การกระทำโดยพระองค์เอง[56]
- กรณีที่ 3 การกระทำโดยผู้อื่น โดยตั้งใจ(ลอบปลงพระชนม์) ศาลเห็นว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์[57]
- กรณีที่ 4 การกระทำโดยผู้อื่น โดยไม่ตั้งใจ(อุบัติเหตุ เช่นปืนลั่น) ศาลฎีกาไม่ได้กล่าวถึงข้อนี้[58]
ความเห็นแย้งศาลอุทธรณ์[แก้]
หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ทำความเห็นแย้งไว้ในชั้นศาลอุทธรณ์ว่า คดีนี้ควรพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสาม[59] นอกจากนี้ หลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ยังให้ความเห็นว่าอาจเป็นอุบัติเหตุโดยพระองค์เอง ดังที่กล่าวไว้ในในเอกสารความเห็นแย้ง[60] และกล่าวย้ำอีกครั้งในบทสัมภาษณ์ในอีกหลายปีให้หลัง[61]
ผลกระทบ[แก้]
- สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชสืบราชสมบัติเป็น "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช"
ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ในเวลานั้น ได้แก่
- คดีนี้ได้กลายเป็นข้ออ้างสำคัญประการหนึ่งของรัฐประหาร พ.ศ. 2490 เนื่องจากรัฐบาลพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (นายกรัฐมนตรีคนถัดจากปรีดี) ไม่สามารถสะสางกรณีสวรรคตได้ อนึ่ง กรณีสวรรคตยังส่งผลให้กลุ่มการเมืองสายปรีดีต้องพลอยหมดบทบาทจากการเมืองไทยภายหลังรัฐประหารครั้งนี้ด้วย
การตั้งคณะกรรมการการสอบสวน[แก้]
วันที่ 18 มิถุนายน ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อสอบหาข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ประกอบด้วยประธานศาลฎีกา อธิบดีศาลอุทธรณ์ อธิบดีศาลอาญา อธิบดีกรมอัยการ ประธานพฤฒสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เจ้านายชั้นผู้ใหญ่สามพระองค์ ผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ โดยมีนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นเลขานุการ และนายสอาด นาวีเจริญ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ คณะกรรมการชุดนี้เรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า คณะกรรมการสอบสวนพฤติกรรมในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต
การดำเนินคดี[แก้]
ภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ตำรวจได้ทำการจับกุม นายชิต นายบุศย์ นายเฉลียว และออกหมายจับ นายปรีดี และเรือเอกวัชรชัย จากพยานและหลักฐานที่มีอยู่ขณะนั้น ศาลนี้เชื่อว่า นายเฉลียว นายชิตและนายบุศย์ ได้ร่วมสมคบคิดกันกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘[62] จึงพิพากษาดังนี้
- ศาลชั้นต้น มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต สิงหเสนี โดยให้ยกฟ้อง นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายเฉลียว ปทุมรส
- ศาลอุทธรณ์ มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต สิงหเสนี และ นายบุศย์ ปัทมศริน โดยให้ยกฟ้อง นายเฉลียว ปทุมรส
- ศาลฎีกามีมติ มีมติให้ประหารชีวิต นายชิต นายบุศย์ และ นายเฉลียว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๔๔/๒๔๙๗ ด้วยการยิงเป้าที่เรือนจำบางขวาง
ทฤษฎีและความเชื่อ[แก้]
ปัจจุบันเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับรัชกาลที่ 8 มักจะเขียนสาเหตุของการสวรรคตไว้แต่เพียงสั้น ๆ ทำนองว่า "เสด็จสวรรคตด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง" หลายฉบับอาจระบุสาเหตุเพิ่มเติมด้วย ทำนองว่า "เป็นเพราะพระแสงปืนลั่นระหว่างทรงทำความสะอาดพระแสงปืน" เข้าใจว่าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการโต้เถียงกรณีสวรรคต
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรณีสวรรคตนี้แม้ถึงที่สุดโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้ว ก็ยังไม่มีคำอธิบายที่กระจ่างชัดเจน จึงทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดต่าง ๆ ซึ่งพยายามจะอธิบายกรณีที่เกิดขึ้น โดยประเด็นหลักก็คือกรณีสวรรคตนี้ เป็นการปลงพระชนม์โดยบุคคลอื่น หรือรัชกาลที่ 8 ทรงกระทำการอัตวินิบาตกรรมปลงพระชนม์ตัวพระองค์เอง
สำหรับทฤษฎีที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าเป็นการลอบปลงพระชนม์ ก็จะต้องอธิบายประเด็นสำคัญให้ได้คือ ใครอยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต และประเด็นที่เกี่ยวข้องคือ จำเลยที่ถูกศาลฎีกาตัดสินว่ากระทำความผิดนั้น แท้จริงเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่
ผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคต[แก้]
- สถานการณ์ในขณะนั้นพุ่งเป้าไปที่ ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ซึ่งประเด็นนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีประเด็นทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากปรีดีขณะนั้นมีศัตรูทางการเมืองอยู่จำนวนมากที่ต้องการจะกำจัดออกไป เช่น กลุ่มทหารสายจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สูญเสียอำนาจหลังร่วมกับประเทศญี่ปุ่นนำประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านขณะนั้น[ต้องการอ้างอิง]
- ในหนังสือ The Revolutionary King: The True–Life Sequel to The King and I (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2543) ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนถึงพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมวงศานุวงศ์ เขียนโดย วิลเลี่ยม สตีเฟนสัน ซึ่งเป็นแขกที่ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในช่วงระยะหนึ่ง ได้เขียนไว้ว่า สายลับญี่ปุ่น ชื่อ ซึจิ มาซาโนบุ (Tsuji Masanobu) ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง น่าจะเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ แต่ปัจจุบันมีหลักฐาน[ต้องการอ้างอิง]ที่ไม่สามารถโต้แย้งได้เลยว่า นายมาซาโนบุ ซุจิ ผู้นี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับกรุงเทพเลย ในขณะที่ในหลวงอานันทมหิดลได้ถูกปลงพระชนม์ ข้อสันนิษฐานนี้จึงตกไป
จำเลยทั้งสามเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่[แก้]
ข้อสังเกตคือ ระหว่างที่การสืบสวนโดยรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์กำลังคืบหน้านั้น คณะทหารสาย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ก่อรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และแต่งตั้งให้ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้ง พล.ต.ต. พระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) (พี่เขยของหม่อมราชวงศ์เสนีย์และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช พรรคประชาธิปัตย์) อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลซึ่งออกจากราชการไปแล้ว ให้กลับเข้ารับราชการ เพื่อทำหน้าที่สืบสวนกรณีสวรรคตเสียใหม่ นำไปสู่การจับกุมจำเลยทั้งสามในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เพียง 12 วันหลังรัฐประหาร และหลังจากการจับกุมนั้น พระพินิจชนคดีก็ยังไม่สามารถหาพยานหลักฐานได้ทันในระยะเวลาสอบสวนตามที่กฎหมายกำหนดคือ 90 วัน รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีจึงได้เสนอกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ 23 มกราคม พ.ศ. 2491 ขยายกำหนดเวลาขังผู้ต้องหาในกรณีสวรรคตได้เป็นพิเศษ ให้ศาลอนุญาตให้ขังผู้ต้องหาได้หลายครั้ง รวมเวลาไม่เกิน 180 วัน[63] ก่อนการประหารชีวิต เฉลียว ปทุมรส 1 ใน 3 จำเลยของคดีดังกล่าว ได้ขอพบพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ และเล่ากันว่า เฉลียวได้บอกชื่อฆาตกรตัวจริงให้พลตำรวจเอกเผ่าทราบ[ต้องการอ้างอิง]
และถึงแม้สังคมจะยอมรับกันแล้วว่าปรีดีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต แต่กรณีคดีของจำเลยทั้งสามที่ถูกประหารชีวิตไปก็ไม่เคยถูกรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่เลย ทั้งในกระบวนการยุติธรรมหรือการศึกษาหาความจริงใหม่ ทั้งที่ข้อกล่าวหาของจำเลยทั้งสามและปรีดีนั้น มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด (ข้อกล่าวหาคือ "ปรีดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของจำเลยทั้งสาม")[64] และมีหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่าอย่างน้อยเฉลียวหนึ่งในสามจำเลยน่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์[63]
เชื่อว่ารัชกาลที่ 8 ทรงพระราชอัตวินิบาตกรรม[แก้]
ทฤษฎีนี้มุ่งอธิบายประเด็นความขัดแย้งในราชสำนัก และเหตุผลที่ทำให้ในที่สุดรัชกาลที่ 8 ทรงตัดสินใจเช่นนั้น เอกสารสำคัญที่เสนอทฤษฎีนี้ก็คือหนังสือ The Devil’s Discus: An Enquiry Into the Death of Ananda, King of Siam โดย เรนย์ ครูเกอร์ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2507 หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นภาษาไทย ใช้ชื่อ กงจักรปีศาจ
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ (ส.ศิวรักษ์) เคยเขียนวิจารณ์หนังสือเล่มนี้ลงใน สังคมศาสตร์ปริทัศน์ ว่าหนังสือเล่มนี้ให้ข้อมูลที่ผิดพลาด รวมถึงวิจารณ์ตัวนายปรีดีและผู้เขียนหนังสือไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากสุลักษณ์เชื่อว่าปรีดีมีส่วนเกี่ยวของกับการปลงพระชนม์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปในภายหลัง สุลักษณ์ได้เขียนเล่าในปาจารยสาร ฉบับกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2550 ว่าการเขียนวิจารณ์ในครั้งนั้นเป็นเพราะเขาหลงเชื่อในคำโฆษณาชวนเชื่อ และต่อมาเขาจึงไถ่บาปด้วยการเขียนหนังสือเกี่ยวกับปรีดี และต่อมามีการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ Powers That Be: Pridi Banomyong through the Rise and Fall of Thai Democracy[65][64]
อ้างอิง[แก้]
เอกสารอ่านเพิ่ม[แก้]
บทความภาษาไทย[แก้]
- ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับท่านปรีดีฯ และกรณีสวรรคต ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์
- รายละเอียดและความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์ในการที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต. ดุลพาห, 28 (1 ม.ค.–ก.พ. 2534): 68-134.
- ชาลาดิน ชามชาวัลลา (นามแฝง). ว่าด้วยแอกอันหนึ่งในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย. ปาจารยสาร, 28 (3 มี.ค.–มิ.ย. 2545): 29-38.
- พุทธพล มงคลสุวรรณ. กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489: ความทรงจำและการเมืองของความทรงจำ = The mysterious death of King Rama VIII on june 9, 1943: Memories and the politics of memories. วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร, 23 (3 2546): 201-237.
- ปรามินทร์ เครือทอง. หลักฐานประวัติศาสตร์ที่เหลืออยู่กรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8. ศิลปวัฒนธรรม. 24 (7 พ.ค. 2546): 114-121.
- ส. ศิวรักษ์ (นามแฝง). คำวิจารณ์หนังสือ "พระราชาผู้อภิวัฒน์" (The Revolutionary King: The True Life Sequel of the King and I). ปาจารยสาร, 26 (2 พ.ย.2542.–ก.พ..2543).
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. "ปริศนากรณีสวรรคต," ฟ้าเดียวกัน 6, 2 (เมษายน-มิถุนายน 2551): 116-135. หรือฉบับออนไลน์ที่ http://somsakwork.blogspot.com/2007/11/blog-post.html และhttp://somsakwork.blogspot.com/2007/11/2.html
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. "ข้อมูลใหม่กรณีสวรรคต: หลวงธำรงระบุชัด ผลการสอบสวนใครคือผู้องสงสัยที่แท้จริง," ฟ้าเดียวกัน 7, 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2552): 60-73.
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. "50 ปี การประหารชีวิต," ฟ้าเดียวกัน 3, 2 (เมษายน-มิถุนายน 2548) 64-80.
หนังสือภาษาไทย[แก้]
- ไข่มุกด์ ชูโต, คุณ. พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลของปวงชน. พิมพ์ครั้งที่ 2. (ม.ป.ท.): โรงพิมพ์หยีเฮง, (ม.ป.ป.).
- คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึกฉลอง 100 ปี รัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 145/2541. สารคดี ฉบับพิเศษ คือวิญญาณเสรี ปรีดี พนมยงค์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : วิริยะธุรกิจ, 2543.
- คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต ร.8 โดย คำพิพากษาศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 5810/2522 (วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2522). กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์, 2523.
- คำพิพากษาศาลอาญา คดีประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์, 2517.
- คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา คดีประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8. กรุงเทพฯ : กรุงสยามการพิมพ์, 2517.
- ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ประวัติการเมืองไทย 2475-2500 = Political History of Thailand. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำรามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 2544.
- ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์. ในหลวงอานันท์กับคดีลอบปลงพระชนม์. กรุงเทพ: พีจี. 2517.
- พุฒ บูรณสมภพ, พ.ต.อ. ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย. กรุงเทพฯ : ศูนย์รวมข่าวเอกลักษณ์, (ม.ป.ป.).
- บุญร่วม เทียมจันทร์ คดีประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ร.8 พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อนิเมทกรุ๊ป, 2550.
- มรกต เจวจินดา. ภาพลักษณ์ ปรีดี พนมยงค์ กับการเมืองไทย พ.ศ. 2475-2526 = The Images of Pridi Banomyong and Thai Politics, 1932-1983. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2543.
- ส. ศิวรักษ์ (นามปากกา). เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส. ศิวรักษ์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2543.
- สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ 6 ตุลา, 2544.
- สรรใจ แสงวิเชียร และ วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย. กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : แหล่งพิมพ์เรือใบ, 2517.
- สุด แสงวิเชียร. เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต. กรุงเทพฯ : บี พี พี เอส, 2529.
- สุพจน์ ด่านตระกูล. ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์). พิมพ์ครั้งที่ 3. นนทบุรี: สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), 2544.
- อนันต์ อมรรตัย. แผนการปลงพระชนม์ ร.8 ของนายปรีดี พนมยงค์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : จิรวรรณนุสรณ์, 2526
- บุญร่วม เทียมจันทร์ และ คณะ . เจาะลึกเบื้องหลังคดัประวัติศาสตร์ คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่8 และคดีพยายามลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่9. พิมพ์ครั้งแรก กรุงเทพฯ ฐานบัณฑิต 2556
หนังสือภาษาอังกฤษ[แก้]
- Kruger, Rayne. The Devil’s Discus: An Enquiry Into the Death of Ananda, King of Siam. London: Cassell, 1964.
- Sivaraksa, Sulak. Powers that Be : Pridi Banomyong through the Rise and Fall of Thai Democracy. Lantern Books, 2000. ISBN 9747449188
- Stevenson, William. The Revolutionary King: The True–Life Sequel to The King and I. London: Constable, 2000.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- 50 ปีการประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2498 โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
- รายชื่อหนังสือเก่าเกี่ยวกับกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ที่ เว็บไซต์สุหนังสือเก่า (1)
- รายชื่อหนังสือเก่าเกี่ยวกับกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ที่ เว็บไซต์สุหนังสือเก่า (2)
- รายชื่อหนังสือเก่าเกี่ยวกับกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ที่ เว็บไซต์สุหนังสือเก่า (3)
- Simpson, Keith (1978). Forty Years of Murder: an Autobiography (Chapter 13: The Violent Death of King Ananda of Siam. Harrap. สืบค้นเมื่อ June 23, 2006.
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=5WzWy_BPxL0 ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้กล่าวอย่างชัดเจนตั้งแต่นาทีที่ 8.30-16.45
- ↑ ราชกิจจานุเบกษาฉบับพิเศษ หน้า ๑ ตอนที่ ๓๙ เล่มที่ ๖๓
- ↑ ประกาศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงสืบราชสันตติวงศ์ ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๓/ตอนที่ ๓๙/ฉบับพิเศษ หน้า ๔/๙ มิถุนายน ๒๔๘๙.
- ↑ ดู
- คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 207/2489 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2489
- หน้า 31-32 อ้างอิงคำชี้แจงของพันเอกช่วงฯ รัฐมนตรีมหาดไทย ในหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน (ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543)
- หน้า 33-35 อ้างอิงเอกสารลับสุดยอด ของเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศอังกฤษ(ฉบับแปลไทย) ในหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน (ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543)
- หน้า 140-143 อ้างอิงเอกสารลับสุดยอด ของเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศอังกฤษ(เสาเนาเอกสารฉบับจริง) ในหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน (ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543)
- หน้า 46 และ 52 หนังสือ จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ โดย ปรีดี พนมยงค์ (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 5 เมื่อเดือน กันยายน 2543 http://www.openbase.in.th/files/pridibook083.pdf
- หน้า 33-35 หนังสือ ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง โดย สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ 6 ตุลา, 2544
- หน้า 21-22(ในส่วนคำนำ) และ 15-23(ในบท ปรีดี พนมยงค์ กับกรณีสวรรคต) ในหนังสือ "เรื่องนายปรีดี พนมยงค์ ตามทัศนะ ส.ศิวรักษ์" (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 4 เมื่อ มีนาคม 2543) จัดจำหน่ายโดย บริษัท เคล็ดไทย จำกัด http://www.openbase.in.th/files/pridibook179.pdf
- หน้า 44 หนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ โดย สุพจน์ ด่านตระกูล (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3) เมื่อ สิงหาคม 2544 http://www.openbase.in.th/files/pridibook227.pdf
- หน้า 83 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- สุลักษณ์ ศิวรักษ์กล่าวไว้ในนาทีที่ 10.05-10.15 ในบทสัมภาษณ์ในรายการ ตอบโจทย์ฯ-สถาบันพระมหากษัตริย์ วันที่ 14 มีนาคม 2013 https://www.youtube.com/watch?v=BKeEALhJ-o0
- จากคำยืนยันของหลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ กรณีนายตี๋มาสารภาพบาปเรื่องรับจ้างเป็นพยานเท็จ https://www.youtube.com/watch?v=g4k3vAa-KxM ตัดมาบางส่วนจากสารคดีปรีดี พนมยงค์ https://www.youtube.com/watch?v=bTe9bUY8jic
- คำสารภาพของนายตี๋ ศรีสุวรรณ 25 มกราคม 2522 หน้า 289-292 อ้างอิงจากจดหมายฉบับจริง ในหนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ โดย สุพจน์ ด่านตระกูล (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3) เมื่อ สิงหาคม 2544
- พินัยกรรมของ พระยาศรยุทธเสนี (กระแส ประวาหะนาวิน) หน้า 232-257 และ 259-288(เสาเนาฉบับจริง) หนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ฉบับสมบูรณ์ โดย สุพจน์ ด่านตระกูล (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3) เมื่อ สิงหาคม 2544
- หน้า 26 และ 65 ในหนังสือ "นายปรีดี พนมยงค์ กับแผนลอบปลงพระชนม์ของ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี" โดยสุพจน์ ด่านตระกูล (ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3) เมื่อ กันยายน 2543
- ↑ หน้า 72-73 อ้างอิงประกาศราชกิจจานุเบกษาเล่ม23 ตอนที่45 วันที่ 25มิถุนายน2489 ในหนังสือ คำตัดสินใหม่กรณีสวรรคตร.๘ จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน (ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2543)
- ↑ หน้า 66 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ หน้า 70 หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ สรรใจ แสงวิเชียร และ วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย. กรณีสวรรคต 9 มิถุนายน 2489 และ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.8 หน้า 17 หน้า 7–20
- ↑ หนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ หน้า 116-117 โดยบุญ่รวม เทียมจันทร์ อ้างอิงคำให้การนายชิต
- ↑ บุญร่วม เทียมจันทร์. คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.8. หน้า 20[ต้องการอ้างอิงเต็ม]
- ↑ อ้างอิงหนังสือ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ร.๘ ฉบับบสมบูรณ์ หน้า 51 101 148 โดยบุญร่วม เทียมจันทร์
- ↑ ดูหนังสือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ร.8 ฉบับสมบูรณ์ หน้า 130-131 อ้างอิงคำให้การสมเด็จพระราชชนนี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2493 ณ สถาณเอกอัครราชฑูตไทย ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยสุพจน์ ด่านตระกูล
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 43-46 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 148-149 โดยสุพจน์ ด่านตระกูล อ้างอิงมาจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1544/2497
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 162-163 คำให้การพระพี่เลี้ยงเนื่อง
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 158 คำให้การของ นายเวศน์ สุนทรรัตน์ มหาดเล็กห้องพระบรรทมในหลวงองค์ปัจจุบัน
- ↑ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต(ฉบับสมบูรณ์) หน้า 163 คำให้การพระพี่เลี้ยงเนื่อง
- ↑ * ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต (ฉบับสมบูรณ์) หน้า 388 อ้างอิงความเห็นแย้งหลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์
- หนังสือ คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต ร.๘
- ↑ คดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ คำพิพากษาฉบับสมบูรณ์ที่สุด โดยบุญร่วม เทียมจันทร์ หน้า 477-478 อ้างอิงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และหน้า 580 อ้างบันทึกความเห็นแย้งของหลวงปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 442-443 อ้างอิง คำให้การ ร.ท.ณรงค์ สายทอง
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 451 อ้างอิง คำให้การ พลทหารขจร ยิ้มรักษา
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 453 อ้างอิง คำให้การ พลทหารบุญชู กัณหะ
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่๘ หน้า 454-454 อ้างอิง คำให้การ พลทหารลอย แจ้งเวหา
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 456-457 อ้างอิง คำให้การ พลทหารร่อน กลิ่นผล
- ↑ หนังสือบันทึกการสอบสวนกรณีสวรรคตรัชกาลที่ ๘ หน้า 457 อ้างอิง คำให้การ พลทหารเค้า ดีประสิทธิ์
- ↑ หนังสือคดีประวัติศาสตร์ลอบปลงพระชนม์ ร.๘ ฉบับสมบูรณ์ หน้า 581 ของบุญร่วม เทียมจันทร์ อ้างอิงจากความเห็นแ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น